ช่วงที่ชายแดนไทย-กัมพูชาตึงเครียดกันใหม่ ๆ เราเห็นข่าวว่าฝ่ายไทยได้มีข่าวการนำโดรน DJI ไปบินลาดตระเวนด้วย ซึ่งถ้ามองในมุมคนชอบเทคโนโลยี มันก็เป็นไอเดียที่ดีนะครับ โดรนราคาไม่ถึงแสน บินได้นิ่ง ถ่ายภาพชัด แถมซื้อหาง่ายอีกต่างหาก แต่ปัญหาคือ “ของบ้านๆ” แบบนี้มันไม่ถูกออกแบบมาสำหรับสนามรบจริง ๆ
สุดท้ายก็มีผู้เชี่ยวชาญเปิดประเด็นขึ้นมาว่า โดรนพวกนี้เสี่ยงต่อการถูกฝ่ายตรงข้ามจับตำแหน่งได้แบบเรียลไทม์ แล้วถ้ารู้ตำแหน่งนักบินเมื่อไหร่ ก็เหมือนการชี้เป้าให้ยิงกลับมาหาเราเองเลยครับ
เพราะอะไรโดรนบ้านๆ ถึงอันตรายในสนามรบ?
โดรนพลเรือนอย่าง DJI ถูกออกแบบให้มีระบบ Remote ID หรือบางคนเรียก DroneID ทำหน้าที่เหมือน “ป้ายทะเบียนบินได้” โดยระบบนี้จะส่งข้อมูลระบุตัวตนของโดรน, พิกัดของตัวโดรน และพิกัดของผู้ควบคุม ออกไปแบบเรียลไทม์ ตลอดเวลาที่บิน
ที่ต้องทำแบบนี้ก็เพราะ ข้อกำหนดทางกฎหมาย ของประเทศใหญ่ ๆ เช่น
-
FAA (Federal Aviation Administration – สหรัฐฯ) บังคับว่าโดรนที่บินในพื้นที่สาธารณะต้องส่งสัญญาณ Remote ID เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบได้ว่าใครกำลังบินอยู่ที่ไหน ป้องกันไม่ให้มีคนเอาโดรนไปบินใกล้สนามบินหรือพื้นที่ต้องห้าม (https://www.faa.gov/uas/getting_started/remote_id)
-
EASA (European Union Aviation Safety Agency – สหภาพยุโรป) ก็มีกฎคล้ายกัน โดยบังคับใช้ Direct Remote Identification สำหรับโดรนเชิงพาณิชย์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือหน่วยงานความปลอดภัย สามารถระบุตัวผู้บินโดรนได้ทันทีโดยไม่ต้องมองเห็นตัวเครื่อง (https://www.easa.europa.eu/en/document-library/general-publications/remote-identification-will-become-mandatory-drones-across)
พูดง่าย ๆ คือ กฎหมายต้องการให้โดรน “โปร่งใส” ต่อสังคม จะได้จัดการเหตุฉุกเฉินหรือตรวจสอบโดรนที่บินผิดกฎหมายได้ง่ายขึ้น แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้อมูลที่ส่งออกมานั้นเป็นสัญญาณแบบเปิด ใครที่มีเครื่องรับสัญญาณที่รองรับก็สามารถดักฟังและแสดงตำแหน่งได้ทันที ไม่ต้องแฮก ไม่ต้องเจาะระบบ เลย นี่จึงกลายเป็นจุดอ่อนใหญ่ของโดรนบ้านๆ ถ้าเอาไปบินในสนามรบ เพราะฝ่ายตรงข้ามสามารถย้อนรอยไปหาตำแหน่งผู้ควบคุมโดรนได้แบบเรียลไทม์
โดรน DJI เป็นของจีน แต่ต้องทำตามกฎ US/EU?
เหตุผลง่าย ๆ เลยคือ ตลาดใหญ่ ครับ ถ้าอยากขายโดรนในสหรัฐฯ หรือยุโรป ผู้ผลิตต้องทำตามกฎของ FAA และ EASA เช่น กำหนดให้มี Remote ID ติดมาเลย ไม่มีสิทธิ์ปิด เพราะถ้าปิดก็ขายไม่ได้ในตลาดนั้น
DJI เลยออกแบบให้โดรนทุกตัวส่งข้อมูลตามข้อกำหนดสากล ซึ่งโอเคสำหรับงานพลเรือน แต่พอเอาเข้าป่าเข้าดงจริง ๆ ข้อมูลพิกัดที่ส่งออกไปกลายเป็นจุดอ่อนทันที
อุปกรณ์ Handheld Drone Locator ทำงานยังไง?
ปัจจุบันมีอุปกรณ์ ตรวจจับโดรนและหาตำแหน่งผู้ควบคุม แบบมือถือ หรือที่บางคนเรียกว่า Handheld Drone Locator / Anti‑Drone System
-
หลักการทำงานคือใช้เสาอากาศรับสัญญาณจากระบบ Remote ID / DroneID ของโดรน
-
เมื่อรับสัญญาณได้ มันสามารถแสดงตำแหน่งทั้ง ตัวโดรน และ คนบังคับ บนแผนที่แบบเรียลไทม์
-
บางรุ่นใช้ร่วมกับระบบป้องกันโดรน (Anti‑Drone) เพื่อรบกวนสัญญาณหรือยิงขัดขวางการควบคุมได้
ในสนามรบ เครื่องมือแบบนี้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามสามารถ รู้ตำแหน่งนักบินโดรนบ้านๆ ทันที และถ้าต้องการโจมตีก็เหมือนมี “GPS ชี้เป้า” เลยครับ และก็หาซื้อตาม Online shopping ได้ไม่ยากด้วยครับ
โดรนทางทหารมีระดับความปลอดภัยสูงกว่ามาก
โดรนทางทหารจริงๆ ถูกออกแบบมาใช้ในภารกิจที่เสี่ยง เพราะฉะนั้นมันต้อง “ผ่านการทดสอบความปลอดภัย” อย่างเข้มข้น เพื่อไม่ให้เปิดเผยข้อมูลสำคัญแบบไม่ตั้งใจ

ยกตัวอย่างโดรนทางการทหารของจริง:
- โดรน MQ‑9 Reaper (สหรัฐฯ) ที่ใช้บินเพื่อสังหารนายพล Qasem Soleimani ในอิรัก โดยใช้การโจมตี precision strike ถล่มด้วยจรวดหลายลูก เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2563
- Bayraktar TB2 (ตุรกี) โดรนขนาดกลาง-ยาว (MALE) ที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในซีเรีย, ยูเครน และลิเบีย โดยเน้นงานแบบ reconnaissance และ precision strike ภายใต้การควบคุมของรัฐ
- Elbit Hermes 900 (อิสราเอล) โดรนสำหรับงานเฝ้าตรวจ-สอดแนมระยะไกล โดนติดตั้งกล้อง, เรดาร์, sensors เพื่อเก็บข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์แบบเรียลไทม์
นี่คือบทเรียนสำคัญของการเอาเทคโนโลยีพลเรือนมาใช้ในงานทหาร อุปกรณ์ทางทหารจริง ๆ ต้อง ผ่านการทดสอบความปลอดภัย ก่อนเสมอ ว่าจะไม่หลุดข้อมูลสำคัญแบบไม่ตั้งใจ เช่น พิกัด GPS ของผู้ใช้งาน หรือสัญญาณสื่อสารที่ใครดักฟังได้ง่าย ๆ เพราะฉะนั้น การรีบเอาโดรนบ้านๆ ไปบินในสนามรบโดยไม่เข้าใจระบบข้างใน มันเสี่ยงต่อความสูญเสียแบบไม่จำเป็นเลยครับ